emon

free counters

การชำระเงินบน E-Commerce

| | 0 ความคิดเห็น

การชำระเงินบน E-Commerce


จากผลการวิจัยพบว่า วิธีการชำระเงินที่สำคัญสำหรับกรณีธุรกิจกับธุรกิจ ร้อยละ 70 ใช้วิธีหักบัญชีธนาคาร ขณะที่ ธุรกิจกับผู้บริโภคร้อยละ 65 ชำระด้วยบัตรเครดิต สำหรับในประเทศไทย... ผลการสำรวจพบว่าผู้สั่งสินค้าบนอินเทอร์เน็ตร้อยละ 40-60 ใช้บัตรเครดิต อีกร้อยละ 40 ใช้วิธีโอนเงินในบัญชี ซึ่งหมายความรวมถึง Direct Debit, Debit Card และ Fund Transferเพื่อ... สร้างความเชื่อมั่นแก่ระบบการชำระเงินบนอินเทอร์เน็ต มีแนวทางการพัฒนาเพื่อบริการชำระเงินดังนี้ 1. บริการ internet banking และ/หรือธุรกิจประเภท Payment Gateway จะเป็น hyperlink ระหว่าง website ของร้านค้ากับระบบของธนาคาร และธนาคารสามารถดำเนินการตามข้อมูลที่ได้รับเพื่อตัดโอนเงินในบัญชีของลูกค้า หรือส่งเป็นคำสั่งโอนเข้าระบบการชำระเงินระหว่างธนาคารที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน 2. สำหรับการชำระเงินที่เป็น Micro Payment การใช้เงินดิจิทัลซึ่งบันทึกบนบัตรสมาร์ตการ์ด หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถสร้างเสริมระบบความปลอดภัยให้มั่นใจได้เหนือกว่าระบบบัตรเดบิตและบัตรเครดิตทั่วไป จึงเป็นแนวโน้มเทคโนโลยีที่น่าสนใจและเหมาะสม


ความปลอดภัยกับ E-Commerce

ระบบความปลอดภัยนับเป็นเรื่องที่โดดเด่นที่สุด และมีเทคโนโลยีความปลอดภัยคือ Public Key ซึ่งมีองค์กรรับรองความถูกต้องเรียกว่า CA (Certification Authority) ระบบนี้ใช้หลักคณิตศาสตร์คำนวณรหัสคุมข้อความจากผู้ส่งและผู้รับอย่างเฉพาะเจาะจงได้ จึงสามารถพิสูจน์ตัวตนของผู้รับผู้ส่ง (Authentication) รักษาความปลอดภัยของข้อมูล (Confidentiality) ความถูกต้องไม่คลาดเคลื่อนของข้อมูล (Integrity) และผู้ส่งปฏิเสธความเป็นเจ้าของข้อมูลไม่ได้ (Non-repudiation) เรียกว่าลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Signature) ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการมีกฎหมายรองรับการทำธุรกรรมบนเค
รือข่าย ประเทศในยุโรปและประเทศสหรัฐอเมริกาได้ออกกฎหมายรับรองการใช้ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ และกฎหมายรองรับการทำธุรกิจดังกล่าว สำหรับในประเทศไทยก็เร่งจัดการออกกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ 6 ฉบับ โดยกฎหมาย 2 ฉบับแรกที่จะออกใช้ได้ก่อนคือ กฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และกฎหมายลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์

http://www.bot.or.th/Thai/PaymentSystems/Others/

eCommerce/Pages/eCommerce.aspx


อุปกรณ์และวิธีการทำ E-commerce

| | 0 ความคิดเห็น

อุปกรณ์และวิธีการทำ E-commerce

อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศประกอบด้วย ระบบสื่อสารโทรคมนาคม ระบบคอมพิวเตอร์และระบบฐานข้อมูล ระบบสื่อสารอาจเป็นระบบพื้นฐานทั่วไป เช่นระบบโทรศัพท์ โทรสาร หรือวิทยุ โทรทัศน์ แต่ระบบอินเทอร์เน็ตซึ่งเชื่อมโยงถึงกันได้ทั่วโลก เป็นระบบเปิดกว้าง โดยเป็นระบบเครือข่ายของเครือข่าย ที่เรียกว่า world wide web มาจากความเป็นเอกลักษณ์คือสามารถสร้างให้มี hyperlink จากหน้าหนึ่งไปอีกหน้าหนึ่ง ไป webpage อื่น หรือไป website อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังสามารถสื่อได้ทั้งภาพ เสียง และภาษาหนังสือที่หลากหลายซับซ้อน สามารถมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกันได้ทันทีทันใด ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์สามารถบันทึกเก็บไว้หรือนำใช้ต่อเนื่องได้ การประยุกต์ใช้ และกระแสตอบรับธุรกิจบนอินเทอร์เน็ตจึงแพร่หลายภายในระยะเวลาอันสั้น E-Commerce ใช้ติดต่อกับลูกค้าได้หลายระดับ ธุรกิจกับลูกค้า ธุรกิจกับธุรกิจ ธุรกิจกับภาครัฐ ฯ สาระของการติดต่อจะมี 4-5 ประการ คือ
การขาย รวมการโฆษณา แสดงสินค้า เสนอราคา สั่งซื้อ คำนวณราคา
การชำระเงิน การตกลงวิธีชำระเงิน สั่งโอนเงิน ให้ข้อมูลบัญชีธนาคารที่ใช้ตัดบัญชี ตลอดจนเงินดิจิทัลรูปแบบใหม่ ๆ
การขนส่ง แจ้งวิธีการส่งมอบของ ค่าขนส่ง และสถานที่ติดต่อและระบบติดตามสินค้าที่ส่ง
บริการหลังการขาย การติดต่อภายในบริษัท เช่นระบบบัญชี คลังสินค้า ระบบสั่งซื้อสินค้าและวัตถุดิบ สั่งผลิต ตลอดจนบริการลูกค้าหลังการ

ขาย

E-commerce คืออะไร

| | 0 ความคิดเห็น


E-commerce คืออะไร

พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic commerce) หรือ อี-คอมเมิร์ช (E-Commerce)
หมายถึง การทำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในทุกๆ ช่องทางที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์เช่น การซื้อขายสินค้าและบริการ การโฆษณาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์, โทรทัศน์, วิทยุ, หรือแม้แต่อินเทอร์เน็ต เป็นต้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดค่าใช้จ่าย และเพื่มประสิทธิภาพขององค์กร โดยการลดบทบาทของความสำคัญขององค์ประกอบทางธุรกิจลง เช่น ทำเลที่ตั้ง อาคารประกอบการ โกดังเก็บสินค้า ห้องแสดงสินค้า รวมถึงพนักงานขาย พนักงานแนะนำสินค้า พนักงานต้อนรับลูกค้าเป็นต้น ดังนั้นจึงลดข้อจำกัดของระยะทางและเวลา ในการทำธุรกรรมลงได้
ตัวอย่างเช่น นายสมชายเปิดร้านขายสินค้า
โอท็อป ผ่านทางอินเทอร์เน็ต ทำให้ลูกค้าที่อยู่ต่างประเทศ สามารถเข้ามาดูตัวอย่างสินค้า และติดต่อซื้อขายกันได้ โดยผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์
เทคโนโลยีสารสนเทศที่รุดหน้า ทั้งระบบ
โทรคมนาคม ระบบคอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ต ทำให้การสื่อสารกันเป็นไปได้โดยง่าย และสามารถเข้าถึงผู้ใช้บริการได้หลายระดับ อีกทั้งยังสามารถโต้ตอบกันได้ทันที ทำให้สามารถเสนอธุรกรรมที่หลากหลาย เช่น การชื้อขาย การบริการหลังการขาย การโอนเงินชำระค่าบริการสินค้า การขนส่ง เป็นต้น โดยมีกฎหมายธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และกฎหมายลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ เข้ามาคุ้มครองเรื่องความปลอดภัย

ที่มา http://www.atii.th.org/html/ecom.html

ภาพกิจกรรม"วันครู 2553" (2)

| | 0 ความคิดเห็น













ที่มา http://www.oknation.net

ภาพกิจกรรม"วันครู 2553" (1)

| | 0 ความคิดเห็น

"ที่ 16 มกรา มาบรรจบ"
ขอน้อมนบ ระลึกคุณ ครูผู้สอน
ที่ได้มอบ ความรู้ ความอาทร
ตั้งแต่ตอน สามขวบ จวบปัจจุบัน
อุปมา เปรียบครู ดั่งผู้ให้
แต่แล้วใคร ช่างเปรียบไว้ เป็นเรือจ้าง
ครูคือผู้ ชี้นำ แนะแนวทาง
คือแสงสว่าง ที่กลางจิต ศิษย์ของครู

16 มกรา...ย้อนกลับมาอีกครั้ง
คิดถึงศิษย์...ที่เคยสอนสั่ง...
ได้พบกัน...เพียงหนึ่งครั้งในหนึ่งปี...
บัดนี้ศิษย์เราเติบใหญ่...มียศศักดิ์ไม่อายใครในวันนี้...
ครูเฝ้าดูอนาคตเจ้าทุกนาที...ขอเพียงเจ้าเป็นคนดีครูพอใจ.....
ในอดีตแม้เจ้าเคย...ดื้อซนบ้าง...
แต่เจ้าไม่เคยห่าง...หรือทิ้งครูไปไหน...
เท่านี้ครูก็มีกำลังใจ...สอนศิษย์รุ่นต่อไป...นานเท่านาน...

กิจกรรม "วันครู" 2553

| | 0 ความคิดเห็น

กิจกรรม"วันครู ปี 2553"

1. ร่วมกิจกรรมทางศาสนา ทำบุญใส่บาตรพระสงฆ์ กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แกบรรดาบูรพาจารย์ผู้ล่วงลับ
2. ส่งบัตรอวยพร หรือไปเยี่ยมเยือนครูอาจารย์ที่เคยให้ความรู้อบรมสั่งสอน เพื่อเป็นการรำลึกถึงคุณงามความดี และแสดงความกตัญญูกตเวที
3. ร่วมพิธีบูชาบูรพาจารย์
4. ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้น เช่น นิทรรศการเกี่ยวกับครู การเรียนการสอน หรือกิจกรรมการกุศลที่หารายได้สมทบกองทุนช่วยเหลือครู เป็นต้น

ปัจจุบันการจัดงานวันครู ได้มีการกำหนดให้จัดพร้อมกันทั่วประเทศ สำหรับส่วนกลางจัดที่หอประชุมคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการจัดงานวันครู ซึ่งมีปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน ประกอบด้วย บุคคลหลายอาชีพร่วมกันเป็นผู้จัด สำหรับส่วนภูมิภาคมอบให้จังหวัดเป็นผู้ดำเนินการ โดยตั้งคณะกรรมการจัดงานวันครูขึ้นเช่นเดียวกับ ส่วนกลางจะจัดรวมกันที่จังหวัดหรือแต่ละอำเภอ รูปแบบการจัดงานในส่วนกลาง (หอประชุมคุรุสภา) พิธีจะเริ่มตั้งแต่เช้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภา คณะกรรมการอำนวยคุรุสภา คณะกรรมการการจัดงานวันครูพร้อมด้วยครูอาจารย์และประชาชนร่วมกันใส่บาตรพระสงฆ์จำนวน 1,000 รูป หลังจากนั้นทุกคนที่มาร่วมงานจะเข้าร่วมพิธีในหอประชุมคุรุสภา นายกรัฐมนตรีเดินทางมาเป็นประธานในงาน ดนตรีบรรเลงเพลงมหาฤกษ์ นายกรัฐมนตรีบูชาพระรัตนตรัย ประธานสงฆ์ให้ศีล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวรายงานต่อนายกรัฐมนตรีกล่าวนำพิธีสวดคำฉันท์รำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ จากนั้นประธานจัดงานวันครู จะเชิญผู้ร่วมประชุมยืนสงบ 1 นาที เพื่อรำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ที่ล่วงลับไปต่อด้วยครูอาวุโสในประจำการ

ประวัติความเป็นมา "วันครู"

| | 0 ความคิดเห็น



"วันครู"ความหมาย ครู หมายถึงผู้อบรมสั่งสอน ผู้ถ่ายทอดความรู้ ผู้สร้างสรรค์ภูมิปัญญา และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อนำไปสู่ ความเจริญรุ่งเรืองของสังคมและประเทศชาติ

ประวัติความเป็นมา
วันครูได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูใน ราชกิจจานุเบกษาเมื่อปี พ.ศ. 2488 ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการ

เรียกว่า"คุรุสภา" ซึ่งมีสถานะเป็นนิติบุคคล และให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่
ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ให้ความเห็น ในเรื่องนโยบายการศึกษา
และวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษาธิการ จัดสวสัดิการให้แก่ครูและครอบครัว
ได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้และความสามัคคีของครู
ด้วยเหตุนี้ในทุกๆปี คุรุสภาจึงจัดให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูจากทั่วประเทศ แถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา

พร้อมทั้งซักถามปัญหาข้อข้องใจต่างๆเกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภา โดยมี คณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาเป็นผู้ตอบข้อสงสัย สถานที่ในการประชุมสมัยนั้นใช้หอประชุม
"สามัคคยาจารย์"
หอประชุมของจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ในระยะหลังจึงมาใช้หอประชุมของคุรุสภา
ปี พ.ศ. 2499 ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการ อำนวยการคุรุสภากิตติมศักดิ์ ได้กล่าวปราศัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า

"ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือว่า เนื่องจาก ผู้เป็นครูมีบุญคุณเป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย
ข้าพเจ้าคิดว่า"วันครู"ควรมีสักวันหนึ่งสำหรับให้บรรดา
ลูกศิษย์ทั้งหลายได้แสดงความเคารพสักการะต่อบรรดาครูผู้มีพระคุณทั้งหลาย เพราะเหตุว่าสำหรับคนทั่วไป
ถ้าถึงวันตรุษ วันสงกรานต์ เราก็นำอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือ
ครูผู้เสียสละทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ
ทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง"
จากแนวความคิดนี้ กอรปกับคว่ทคอดเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่นๆที่ล้วนเรียกร้องให้มี"วันครู"
เพื่อให้เป็นการรำลึกถึงความสำคัญของครูในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ ประกอบคุณงามความดีเพื่แประโยชน์ของชาติ
และประชาชนเป็นอันมาก ในปีเดียวกันที่ประชุมคุรุสภาสามัญประจำปีจึงได้พิจารณาเรื่องนี้และมีมติเห็นควรให้มี
"วันครู" เพื่อเสนอคณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอในหลักการว่า เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณ
บูรพาจารย์ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครู และเพื่อส่งเสริมความเข้าใจอีนดีระหว่างครูกับประชาชน
ในที่สุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2499 ให้วันที่ 16 มกราคม ของทุกปีเป็น"วันครู"
โดยถือเอาวันที่ประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2488 เป็นวันครู
และให้กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดังกล่าวได้
การจัดงานวันครูได้จัดเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2500 ในส่วนกลางใช้สถานที่ของกรีฑาสถานแห่งชาติ
เป็นที่จัดงาน งานวันครูนี้ได้กำหนดเป็นหลักการให้มีอนุสรณ์งานวันครูไว้ให้แก่อนุชนรุ่นหลังทุกปี อนุสรณ์ที่สำคัญคือ
หนังสือประวัติครู หนังสือที่ระลึกวันครู และสิ่งก่อสร้างที่เป็นถาวรวัตถุ
การจัดงานวันครูได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกิจกรรมให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมตลอดเวลา ในปัจจุบัน


ได้จัดรูปแบบการจัดงานวันครูจะมีกิจกรรม 3 ประเภทใหญ่ดังนี้

1.กิจกรรมทางศาสนา
2.พิธีรำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ ประกอบด้วยพิธีปฏิญาณตน การกล่าวคำระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์
3.กิจกรรมเพื่อความสามัคคีระหว่างผู้ประกอบอาชีพครู สา่วนมากจะเป็นการแข่งขันกีฬาหรือการจัดงานรื่นเริง


ปัจจุบันการจัดงานวันครู ได้กำหนดให้จัดพร้อมกันทั่วประเทศ สำหรับส่วนกลางจัดที่หอประชุมคุรุสภา โดยมี คณะกรรมการจัดงานวันครูซึ่งมีปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน

ประกอบด้วยบุคคลหลายอาชีพร่วมกันเป็นผู้จัด
สำหรับส่วนภูมิภาคให้จังหวัดเป็นผู้ดำเนินการ โดยตั้งคณะกรรมการจัดงานวันครูขึ้นเช่นเดียวกันกับส่วนกลาง จะรวมกันจัดที่จังหวัดหรือแต่ละอำเภอก็ได้

ที่มา http://school.obec.go.th/donyai/wankru.htm

ภาพปีใหม่ 2553 ทั่วโลก

| | 0 ความคิดเห็น

สถานที่จัดปีใหม่ 2553 (6)

| | 0 ความคิดเห็น

ดอกไม้ไฟที่ เมืองเซียงไฮ้ ประเทศจีน


พลุไฟเหนือพระราชวังเครมลิน ณ. จตุรัสแดง กรุงมอสโคว์ ประเทศรัสเซีย


ตาของลอนดอน( London eye ) ประเทศอังกฤษ


พลุสวยๆหลังหอนาฬิกาบิ๊กเบน กรุงลอนดอน


หอไอเฟล ประดับไฟสวยงาม ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส


พลุไฟที่ประตูชัย แบร์เดนเบิร์ก กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมันนี

สถานที่จัดปีใหม่ 2553 (5)

| | 0 ความคิดเห็น

6. สถานบันเทิง เช่น ถนนข้าวสาร, RCA, ผับโปรดของคุณ




7. ภัตราคารบนดาดฟ้าตึกสูง
เช่น ตึกใบหยก, The Roof Siam @ Siam , The Dome at State Tower

8. ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เช่น ล่องเรือริมฝั่งแม่น้ำ, สะพานพระราม8, ภัทราวดีเธียร์เตอร์
9. บ้านสำหรับคนที่เบื่อการเดินทางในช่วงเทศกาลอย่างนี้ ไปทางไหนก็มีแต่รถติด คนเยอะ จอแจอึดอัด การฉลองปีใหม่ที่บ้านก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง นอกจากจะสะดวกสบายแล้วยังเป็นการสร้างความสุข และความผูกพันกันภายในครอบครัวอีกด้วย พร้อมกิจกรรมหลากหลายตั้งแต่การทำอาหารรับประทานกัน นั่งพูดคุยถึงเรื่องราวที่ผ่านมาในหนึ่งปี. ร้องดาราโอเกะ หรือจะดริ้งก์กันนิดหน่อยพอเป็นกระสายก็ไม่ผิดกฎหมาย แต่อย่างใดแถมยังถูกต้องกับสโลแกนที่ว่า “เมาไม่ขับ” อีกต่างหาก

ที่มา http://www.blogger.com/post-create.g?blogID

สถานที่จัดปีใหม่ 2553 (4)

| | 0 ความคิดเห็น


3. ไหว้พระขอพรเสริมสิริมงคล 9 พระอารามหลวง
- วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร
- วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร
- วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์)
- วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)
- วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร
- วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร
- วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร (วัดแจ้ง)
- วัดบวรนิเวศวิหาร
- วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร




4. สะพานพระราม 8ต้องบอกว่าไม่ไปเสียดายแย่ ปีหนึ่งมีแค่หนเดียวเท่านั้นที่จะได้ชมความสวยงามของ สะพานพระราม 8 เพราะที่นี่มีการจัดแสดงแสง สี เสียง ประกอบพลุ ดอกไม้ไฟ คุณๆ จะได้เห็นความสวยงามของพลุดอกแล้วดอกเล่าที่จุดขึ้นฟ้าส่องประกายสวยงาม เปรียบดังชีวิตในช่วงปีใหม่ที่จะมาถึงให้ลุกโชติช่วง ชัชวาลกันเลย


5. สนามหลวงแสงไฟสวยๆ บรรยากาศรอบพระราชวัง และ วัดพระแก้ว

สถานที่จัดปีใหม่ 2553 (3)

| | 0 ความคิดเห็น


สำหรับคนที่อยู่กรุงเทพฯ และไม่ได้ออกไปเที่ยวปีใหม่ที่ต่างจังหวัด หลายๆคน คงกำลังมองหาสถานที่เที่ยวปีใหม่ และ Countdown กันอยู่ถ้านึกไม่ออก ขอเสนอกิจกรรม และ สถานที่





1. แยกราชประสงค์บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ถนนราชดำริเป็นสถานที่สองที่อยากจะแนะนำให้ไปเสียเหลือเกิน ตั้งแต่แยกปทุมวันถึงชิดลม และตั้งแต่แยกลุมพินิถึงสะพานเฉลิมโลก (ประตูน้ำ) ที่นี่คุณจะต้องตะลึงกับโคมไฟที่ประดับอยู่สองข้างทา ง ซึ่งทำให้ได้ลื่นไอของเทศกาลเป็นที่สุด ดูเจริญตาเจริญใจไม่น้


2. ลานหน้าเซ็นทรัลเวิลด์กลายเป็นสถานที่ยอดฮิตสำหรับใครที่มองหาแหล่งเที่ยวช่วงปีใหม่ เพราะที่นี่มีการจัดงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่แท บทุกปี มีทั้งการประดับไฟสวยงามในบริเวณรอบๆ รวมถึงการปิดถนนเพื่อให้ประชาชนได้มาเฉลิมฉลองกันเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ยังไม่รวมถึงกิจกรรมบันเทิงเริงใจที่ทางภาครัฐและเอก ชนพร้อมใจกันจัดให้อีก เรียกว่าที่นี่คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม!

สถานที่จัดปีใหม่ 2553 (2)

| | 0 ความคิดเห็น


ขอพรช้างเอราวัณ สุขสันต์ Countdown 2010วันจัดงาน : 31 ธันวาคม 2552 ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไปสถานที่จัดงาน : พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ จ.สมุทรปราการ
ชมการประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง, ลิเกพื้นบ้าน, การแสดงมายากล, chill out กับดนตรีในสวนบรรยากาศ Winter Love Song, เลือกซื้อสินค้ามากมายบนถนนคนเดิน, ดูงานศิลปะฝีมืออาร์ตติส เมืองปากน้ำ พิเศษสุด… หางบัตรชิงของรางวัลและเงินสดรวมมูลค่ากว่า 50,000 บาท

แอ่วเหนือ-ขึ้นอีสาน-ล่องใต้ ไปเคาท์ดาวน์ปีใหม่แบบอินเทรนด์ เทศกาลปีใหม่นับเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ที่หลายๆ ครอบครัวเฝ้ารอเพื่อจะข้ามคืนสุดท้ายของปีเก่า เข้าสู่ศักราชใหม่ไปอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน และคงจะดีไม่น้อย หากได้เปลี่ยนบรรยากาศไป countdown ในสถานที่ท่องเที่ยวแปลกใหม่ ร่วมกับญาติพี่น้อง หรือเพื่อนสนิท พร้อมทั้งสูดอากาศเย็นสดชื่นให้ฉ่ำปอด ผ่อนคลายสายตาจากความเหนื่อยล้ามาตลอดปีกับธรรมชาติเขียวขจีและบริสุทธิ์ ท่ามกลางขุนเขาในภาคเหนือ - อีสาน หรือจะเยือนถิ่นตะวันออก - ล่องแดนใต้ หลบความวุ่นวายไปติดเกาะ แหวกว่ายทักทายฝูงปลา-ปะการัง และพักผ่อนบนชายหาดสวยงามอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ก็ถือว่าเป็นไอเดียเคาท์ดาวน์ที่เก๋ไก๋ไปอีกแบบ โอกาสนี้ เราขอแนะนำแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติฮอตฮิตทั่วไทย ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปฉลองปีใหม่กัน
ที่มา http://www.blogger.com/post-create.g

สถานที่จัดปีใหม่ 2553 (1)

| | 0 ความคิดเห็น


เที่ยวทั่วโลกช่วงปีใหม่ กับ แสง สี เสียง 3 มิติ
วันจัดงาน : ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 2 มกราคม 2553 เวลา 19.00-21.00 น.
สถานที่จัดงาน : บริเวณลานน้ำพุ ด้านนอกของคิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ ถนนรางน้ำ กรุงเทพมหานคร
โชว์แสง สี เสียง 3 มิติ ในคอนเซปต์ The Enchanted Voyage of the World ที่โดดเด่นด้วยเทคนิค interactive ครั้งแรกของเมืองไทย ไฮไลท์เด่นของการแสดงชุดนี้อยู่ที่การพาผู้ชมโลดแล่นไปสู่โลกแห่งจินตนาการ เดินทางท่องไปยังสถานที่ต่างๆ ตามเส้นทางธรรมชาติอันเลื่องชื่อในทั่วทุกมุมโลก มากกว่า 20 เส้นทางหลายคนคงจะเคยได้ยินเพลงนี้กันเป็นประจำทุกปียิ่งในช่วงเทศกาลครีสมาสต์และปีใหม่ ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่แฮปปี้สมกับชื่อจริงๆ หันไปทางไหนก็มีแต่รอยยิ้มนี่ยังไม่รวมวันหยุดเรียน วันหยุดงาน และโบนัสที่จะได้ตามมานะ ถ้าใครยังไม่มีโปรแกรมไปเที่ยวที่ไหน ลองมาดู 8 สถานที่ยอดฮิตฉลองปีใหม่กัน ดูมั้ย เผื่อจะมีไอเดียดีๆ เกี่ยวก้อยคนรู้ใจไปฉลองสองต่อสองก็เป็นได้แยกราชประสงค์ บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ถนนราชดำริเป็นสถานที่สองที่อยากจะแนะนำให้ไปเสียเหลือเกิน ตั้งแต่แยกปทุมวันถึงชิดลม และตั้งแต่แยกลุมพินิถึงสะพานเฉลิมโลก (ประตูน้ำ) ที่นี่คุณจะต้องตะลึงกับโคมไฟที่ประดับอยู่สองข้างทาง ซึ่งทำให้ได้ลื่นไอของเทศกาลเป็นที่สุด ดูเจริญตาเจริญใจไม่น้อยลานหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ กลายเป็นสถานที่ยอดฮิตสำหรับใครที่มองหาแหล่งเที่ยวช่วงปีใหม่ เพราะที่นี่มีการจัดงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่แทบทุกปี มีทั้งการประดับไฟสวยงามในบริเวณรอบๆ รวมถึงการปิดถนนเพื่อให้ประชาชนได้มาเฉลิมฉลองกันเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ยังไม่รวมถึงกิจกรรมบันเทิงเริงใจที่ทางภาครัฐและเอกชนพร้อมใจกันจัดให้อีก เรียกว่าที่นี่คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม!ไหว้พระ 9 วัด ฟังดูแล้วบางคนอาจจะตลกว่าปีใหม่ทำไมต้องไปฉลองที่วัดด้วย แต่ขอบอกว่าสถานที่ดังกล่าวนี้ได้รับความนิยมไม่น้อยในช่วงปีใหม่ และยิ่งช่วงนี้สถานการณ์ทางการเมืองของเราไม่ค่อยสู้ดี การเข้าวัดไหว้พระทำบุญนั้น ยิ่งเป็นการเพิ่มพูนกำลังใจได้แก่ตนเองไม่น้อย และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 9 แห่ง ได้แก่ วัดกัลยาณมิตร, วัดชนะสงคราม, วัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์), วันพระแก้ว, วันระฆังฯ, วัดสุทัศนฯ, วัดอรุณา, ศาลหลักเมือง และศาลเจ้าพ่อเสือ แต่ขอแนะนำว่าให้ออกจากบ้านแต่งเข้า เพราะกิจกรรมนี้ใช้เวลานานพอสมควร เผื่อมีเวลาเหลือให้ได้ชมความสวยงามของวัดในกรุงเพทฯก็ไม่ว่ากันสะพานพระราม 8 ต้องบอกว่าไม่ไปเสียดายแย่ ปีหนึ่งมีแค่หนเดียวเท่านั้นที่จะได้ชมความสวยงามของสะพานพระราม 8 เพราะที่นี่มีการจัดแสดงแสง สี เสียง ประกอบพลุ ดอกไม้ไฟ คุณๆ จะได้เห็นความสวยงามของพลุดอกแล้วดอกเล่าที่จุดขึ้นฟ้าส่องประกายสวยงาม เปรียบดังชีวิตในช่วงปีใหม่ที่จะมาถึงให้ลุกโชติช่วงชัชวาลกันเลยสนามหลวง ได้โปรดอย่าถามว่าจะชวนไปสนามหลวงเพราะจะไปเล่นว่าวหรืออย่างไร? คำตอบคือไม่ใช่แต่จะพามาทำบุญตัดบาตรพระสงฆ์ในตอนเช้า เพื่อความเป็นสิริมงคลให้แก่ชีวิต ทำบุญทำทาน เพื่อชีวิตในภายภาคหน้าจะได้พบแต่ความสุขถือเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่เยี่ยมทีเดียวคุณว่ามั้ย?เชียงใหม่ ฟังดูอาจไกลไปสักหน่อย แต่ปีใหม่ทั้งทีย่อมมีวันหยุดยาวหลายวันติดต่อกัน น่าจะหาโอกาสไปฉลองปีใหม่ที่จังหวัดเชียงใหม่ดูสักครั้ง จะไปเดี่ยว เป็นคู่ หรือแบบแฟมิสี่ก็ไม่ว่ากัน ที่นี่นอกจากจะมีอากาศที่เย็นสบายเพราะอยู่ในช่วงฤดูหนาวแล้ว บางคนยังหนีขึ้นดอยไปฉลองปีใหม่ กับสายลม สายหมอก ที่นั่น เอ้อ! ไปแล้วอย่าลืม ถ่ายรูปมาอวดเพื่อๆ ให้ได้อิจฉาเล่นด้วยล่ะพัทยา สมกับเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับไหลจริงๆ ที่พัทยา จังหวัดชลบุรี นอกจากจะมีทะเลสวยๆ ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้เที่ยวเล่นน้ำคลายร้อนผ่อนคลายอุราแล้ว บริเวณที่ท่าเทียบเรือพัทยาจะมีการจัดงานรื่นเริงแทบทุกปี แถมด้วยสองข้างฝั่งถนนเมืองพัทยายังมีการประดับไฟสวยงามทุกที่ ที่ไปเยือนอีกด้วย งานนี้ถ้าไม่ไปจะมาบ่นเสียดายทีหลังไม่ได้นะ!บ้าน สำหรับคนที่เบื่อการเดินทางในช่วงเทศกาลอย่างนี้ ไปทางไหนก็มีแต่รถติด คนเยอะ จอแจอึดอัด การฉลองปีใหม่ที่บ้านก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง นอกจากจะสะดวกสบายแล้วยังเป็นการสร้างความสุข และความผูกพันกันภายในครอบครัวอีกด้วย พร้อมกิจกรรมหลากหลายตั้งแต่การทำอาหารรับประทานกัน นั่งพูดคุยถึงเรื่องราวที่ผ่านมาในหนึ่งปี. ร้องดาราโอเกะ หรือจะดริ้งก์กันนิดหน่อยพอเป็นกระสายก็ไม่ผิดกฎหมายแต่อย่างใดแถมยังถูกต้องกับสโลแกนที่ว่า “เมาไม่ขับ” อีกต่างหาก

ที่มา http://www.blogger.com/post-create.g

ประวัติปีใหม่

| | 0 ความคิดเห็น


ประวัติความเป็นมา วันปีใหม่


ความหมายของวันขึ้นปีใหม่ ตามพจนานุกรม ฉบับราชตบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของคำว่า " ปี" ไว้ดังนี้ ปี หมายถึง เวลา ชั่วโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครั้งหนึ่งราว 365 วัน : เวลา 12 เดือนตามสุริยคติ ประวัติความเป็นมา วันปีใหม่ มีประวัติความเป็นมาซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและความเหมาะสม ตั้งแต่ในสมัยเริ่มแรกเมื่อชาวบาบิโลเนียเริ่มคิดค้นการใช้ปฏิทิน โดยอาศัยระยะต่าง ๆ ของดวงจันทร์เป็นหลักในการนับ เมื่อครบ 12 เดือนก็กำหนดว่าเป็น 1 ปี และเพื่อให้เกิดความพอดีระหว่างการนับปีตามปฏิทินกับปีตามฤดูกาล จึงได้เพิ่มเดือนเข้าไปอีก 1 เดือน เป็น 13 เดือนในทุก 4 ปี ต่อมาชาวอียิปต์ กรีก และชาวเซมิติค ได้นำปฏิทินของชาวบาบิโลเนียมาดัดแปลงแก้ไข อีกหลายคราวเพื่อให้ตรงกับฤดูกาลมากยิ่งขึ้นจนถึงสมัยของกษัตริย์จูเลียต ซีซาร์ ได้นำความคิดของนักดาราศาสตร์ชาวอียิปต์ชื่อ โยซิเยนิส มาปรับปรุง ให้ปีหนึ่งมี 365 วัน ในทุก ๆ 4 ปี ให้เติมเดือนที่มี 28 วัน เพิ่มขึ้นอีก 1 วัน เป็น 29 วัน คือเดือนกุมภาพันธ์ เรียกว่า อธิกสุรทิน เมื่อเพิ่มในเดือนกุมภาพันธ์มี 29 วันในทุก ๆ 4 ปี แต่วันในปฏิทินก็ยังไม่ค่อยตรงกับฤดูกาลนัก คือเวลาในปฏิทินยาวกว่าปีตามฤดูกาล เป็นเหตุให้ฤดูกาลมาถึงก่อนวันในปฏิทิน และในวันที่ 21 มีนาคมตามปีปฏิทินของทุก ๆ ปี จะเป็นช่วงที่มีเวลากลางวันและกลางคืนเท่ากัน คือเป็นวันที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นตรงทิศตะวันออก และลับลงตรงทิศตะวันตกเป๋ง วันนี้ทั่วโลกจึงมีช่วงเวลาเท่ากับ 12 ชั่วโมง เท่ากัน เรียกว่า วันทิวาราตรีเสมอภาคมีนาคม (Equinox in March) แต่ในปี พ.ศ. 2125 วัน Equinox in March กลับไปเกิดขึ้นในวันที่ 11 มีนาคม แทนที่จะเป็นวันที่ 21 มีนาคม ดังนั้น พระสันตะปาปาเกรกอรี่ที่ 13 จึงทำการปรับปรุงแก้ไขหักวันออกไป 10 วันจากปีปฏิทิน และให้วันหลังจากวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2125 แทนที่จะเป็นวันที่ 5 ตุลาคม ก็ให้เปลี่ยนเป็นวันที่ 15 ตุลาคมแทน (เฉพาะในปี 2125 นี้) ปฏิทินแบบใหม่นี้จึงเรียกว่า ปฏิทินเกรกอเรี่ยน จากนั้นได้ปรับปรุงประกาศใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันเริ่มต้นของปีเป็นต้นมา

ที่มา http://www.blogger.com/post-edit.g?blogID